ทุกวันนี้ หากเอ่ยถึงการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ชื่อของบริษัทยักษ์ใหญ่เช่น กูเกิล (Google) เฟซบุ๊ก (Facebook) แอมะซอน (Amazon) ไมโครซอฟท์ (Microsoft) มักถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงเป็นลำดับแรก ๆ ยังไม่นับรวมถึงสตาร์ทอัปรายเล็กรายน้อยในย่านซิลิคอนวัลเลย์ และในแถบกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งหากสังเกตให้ดี จะพบว่าบริษัทเหล่านี้มาจากซีกโลกตะวันตกทั้งสิ้น ราวกับว่าวงการเทคโนโลยีลืมมองมาทางโลกตะวันออกกันแล้วเสียอย่างนั้น
โดยเฉพาะ "ญี่ปุ่น" ประเทศที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเคยมีบริษัทชื่อดังที่ฮิตติดชาร์ตเมื่อทศวรรษก่อน ทุกวันนี้อาจกล่าวได้ว่า น้อยครั้งที่จะปรากฏชื่อบริษัทญี่ปุ่นในวงการ AI
ผลจากความเงียบฉี่นี้จึงทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการพัฒนา AI สายพันธุ์ใหม่สำหรับโลกตะวันออกที่สามารถหาโซลูชันที่ดีที่สุดได้จากการวิเคราะห์ตัวอย่างข้อมูลกลุ่มเล็ก ๆ
จากประโยคข้างต้น แสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดประการแรกที่ญี่ปุ่นประสบอยู่ นั่นก็คือการขาดแคลนข้อมูลเพื่อให้ AI ได้เรียนรู้ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า กูเกิล เฟซบุ๊ก ไมโครซอฟท์ แอมะซอน เหล่านี้ล้วนเป็นบริษัทที่มีแพลตฟอร์มของตนเองในการจัดเก็บข้อมูล เพื่อนำมาต่อยอดให้ AI ได้เรียนรู้ทั้งสิ้น
มาซาชิ ซูกิยามา หัวหน้าศูนย์ Riken Center for Advanced Integrated Intelligence Research เผยว่า ญี่ปุ่นควรสนับสนุนการศึกษาด้าน AI ในแบบของตัวเอง
"การใช้ AI เพื่อหาโซลูชันจากข้อมูลที่มีจำกัดนั้นสามารถนำไปใช้ตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่า ทำไมโครงการนี้จึงได้รับการสนับสนุนจากโตโยต้า NEC และบริษัทอื่น ๆ มากมาย"
ญี่ปุ่นยังมีแผนจะใช้ AI ในการรับมือกับปัญหาการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุ และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล รวมไปถึงการใช้ AI ควบคุมหุ่นยนต์พยาบาลที่ได้รับการพัฒนาขึ้น เพื่อให้หุ่นเหล่านั้นสามารถตอบสนองต่อความต้องการของคนไข้ในทุกสภาวะ
ในด้านการแพทย์ อาจมีการใช้ AI ในการหาวิธีการรักษาสำหรับคนไข้แต่ละรายเป็นการเฉพาะอีกด้วย หากจะพูดสั้น ๆ ก็คือ เทคโนโลยี AI ที่ญี่ปุ่นต้องการในอนาคตอันใกล้ก็คือ AI ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงบิ๊กดาต้านั่นเอง
หุ่นยนต์ Zenbo จากงาน Computex 2016 ที่ไต้หวัน
ยกตัวอย่าง การศึกษาและพัฒนา AI ที่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีจำนวนจำกัดนั้นกำลังเริ่มเกิดขึ้น โดยเป็นฝีมือของนักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีโตเกียว กับการพัฒนา Self-Organizing Incremental Neural Network ซึ่งสามารถคาดการณ์ปริมาณน้ำ ได้ว่าจะท่วมบ้านเรือนหรือไม่ ซึ่งเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความรู้ด้านคณิตศาสตร์และสถิติเป็นหัวใจสำคัญในการเข้าถึงเทคโนโลยี AI
"ในญี่ปุ่น เราไม่มีบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านไอที นี่จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องอาศัยบริษัทจำนวนมากและสถาบันการศึกษามาจับมือร่วมกัน" จุนอิจิ ซึจิ ผู้อำนวยการของศูนย์วิจัยปัญญาประดิษฐ์ (The Artificial Intelligence Research Center) ภายใต้การดูแลของสถาบันวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งญี่ปุ่นเผย
นอกจากความขาดแคลนบริษัทยักษ์ใหญ่ไอทีแล้ว ตามการรายงานของสื่อญี่ปุ่นอย่างนิคเคย์ เอเชียน รีวิว ระบุว่า ญี่ปุ่นยังขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ด้วย แม้ว่าในขณะนี้จะมีการสร้างคนรุ่นใหม่ขึ้นมาในสาขานี้อย่างมากแล้วก็ตาม หัวกะทิจากประเทศในเอเชียด้วยกันจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่บริษัทญี่ปุ่นใช้ในการเฟ้นหาอัจฉริยะเข้าไปเสริมทัพ โดยในช่วงที่ผ่านมา มีการส่งตัวแทนชาวญี่ปุ่นเข้าไปติดต่อกับสถาบันการศึกษาของอินเดียและสิงคโปร์เพื่อคัดคนเข้ามาทำงานให้กับบริษัทญี่ปุ่นมากขึ้น เช่นกรณีของ มัตซึริ ซูซุกิ ตัวแทนจากบริษัท Works Applications ที่เดินทางไปยังอินเดีย และสิงคโปร์ และใช้เวลาในประเทศเหล่านั้นมากกว่า 1 ใน 3 ของปี เพื่อคัดเลือกพนักงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทำงานให้กับบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งเมืองที่มีหัวกะทิด้านไอทีมารวมตัวกันสูงนั้น ได้แก่ นิวเดลี กัลกัตตา มุมไบ
เหตุที่ต้องทำเช่นนั้นเพราะ ในปีที่ผ่านมา บริษัทของเธอได้เปิดตัวแพลตฟอร์มด้านการวางแผนสำหรับธุรกิจเอนเทอร์ไพรส์ที่สามารถเรียนรู้เรื่องค่าใช้จ่ายได้จากการป้อนข้อมูลของผู้ใช้งานในชื่อ Hue และมีแผนจะขยายความสามารถของแพลตฟอร์มให้กว้างมากขึ้น เช่น รองรับเทคโนโลยี Image Recognition เพื่อให้ระบบสามารถอ่านใบเสร็จได้เองโดยอัตโนมัติ
เพื่อหาบุคลากรให้ตรงกับสายงานดังกล่าว บูธของ Works Applications จึงไปตั้งอยู่ใน the Indian Institutes of Technology แหล่งรวมหัวกะทิด้านวิศวกรรมของอินเดีย ซึ่งแนวทางการคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงานก็คือการให้นักศึกษาที่สนใจเขียนโค้ดโปรแกรมกันสด ๆ หน้าบูธ และประกาศผลการคัดเลือกจากฝีมือการเขียนโปรแกรม ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือบูธของ Works Applications ตั้งอยู่ท่ามกลางบูธของบริษัทไอทียักษ์ใหญ่อย่างกูเกิล และเฟซบุ๊กด้วย
การยื่นผลตอบแทนที่น่าสนใจก็เป็นอีกหนึ่งหนทางที่ทำให้บรรดาหัวกะทิตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งรายได้ของนักศึกษาไอทีอินเดียนั้นอยู่ที่ประมาณ 54,000 เหรียญสหรัฐต่อปี หรือประมาณ 1,872,000 บาท แต่เพื่อการดึงตัว Works Applications ระบุว่า ได้เสนอให้ที่ 60,000 เหรียญสหรัฐต่อปี หรือเท่ากับ 2,080,000 บาท ซึ่งเทียบเท่ากับรายได้ที่บริษัทญี่ปุ่นเสนอให้กับนักศึกษาไอทีของญี่ปุ่นเลยทีเดียว
ผลก็คือ บริษัทสามารถว่าจ้างนักศึกษาอินเดียมาได้ 60 คนจากกิจกรรมจัดหางานดังกล่าว และหวังว่าในปีหน้าจะเพิ่มการว่าจ้างเป็น 120 ตำแหน่งด้วย
ชิเงโอะ ยาชิตะ รองประธานของ Works Applications กล่าวว่า "นักศึกษาจากชาติอาเซียนมีทักษะที่สูงมาก และสามารถจ้างได้ในราคาที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับชาติตะวันตก"
ภาพจาก AFP
หันมาที่ประเทศยักษ์ใหญ่แดนมังกรอย่างจีน ข้อได้เปรียบของจีนที่เหนือกว่าญี่ปุ่นคือ การมีประชากรอินเทอร์เน็ตขนาดมหึมา 650 ล้านคน ซึ่งมากพอที่จะเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีป้อนให้ AI ได้ศึกษาเรียนรู้ และพัฒนา AI ของตนเองออกไปแข่งขันกับชาติตะวันตกได้
ที่ผ่านมา จีนมีบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อย่าง iFlytek จากเซินเจิ้นซึ่งกำลังพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อหวังส่งลงสนามสอบแอดมิชชั่นแข่งกับนักเรียนทั่วไป ในการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยระดับท็อปของจีนให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2020
"ปัจจุบัน ระบบ AI ของเราสามารถอ่าน และแปลความหมายของบทความที่อ่านได้เท่ากับความสามารถของเด็กอายุ 6 ขวบแล้ว" Hu Yu ประธานบริษัท iFlytek กล่าว ซึ่งเขายกตัวอย่างให้ฟังว่า ได้ให้คอมพิวเตอร์อ่านเรื่องราวของเป็ดจับปลา โดยมีการดึงคำบางคำออกไป รวมถึงแทนที่ชื่อของสัตว์ในเรื่องที่เป็นหมูและวัวด้วย แต่หุ่นยนต์สามารถเดาได้ว่าคำใดที่หายไป และยังสามารถเข้าใจเรื่องราวได้ว่า ตัวเอกของเรื่องคือเป็ด ไม่ใช่หมู
นอกจากนั้น ยังมีข่าวคราวของไป่ตู้ (Baidu) บริษัทเสิร์ชเอนจินสัญชาติจีนที่ได้รับอนุญาตให้นำรถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองลงทดสอบในแคลิฟอร์เนียเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็ได้เผยว่า มีการลงทุนเพิ่มเติมโดยโฟกัสไปที่ AI เช่นกัน ส่วนค่ายอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง และเท็นเซ็น โฮลดิ้ง ต่างก็ให้ความสำคัญกับวงการ AI โดยทั้งคู่ต่างมีคลาวด์คอมพิวติ้งของตนเอง และมีการลงทุนในสตาร์ทอัปที่พัฒนาใน AI หลายราย
ทั้งนี้ จากข้อมูลของบริษัทวิจัย iResearch Consulting Group พบว่า ตัวเลขคร่าว ๆ ของสตาร์ทอัปผู้พัฒนา AI ในจีนแผ่นดินใหญ่นั้นอยู่ที่ราว ๆ 100 บริษัท และมีถึง 65 บริษัทที่ได้รับเงินลงทุนจากนักลงทุนแล้ว เป็นเงินกว่า 434 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนรัฐบาลจีนก็มีนโยบายให้การสนับสนุนทางการเงินแก่สตาร์ทอัปเหล่านี้เป็นเวลา 3 ปีด้วยเช่นกัน โดยเน้นไปที่การพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับเครื่องใช้อัจฉริยะภายในบ้าน รถอัจฉริยะไร้คนขับ หุ่นยนต์ และผลิตภัณฑ์ด้านซีเคียวริตี้
"ภายในปี 2025 สินค้าอิเล็กทรอนิกส์จะอยู่ในรูปของการควบคุมสั่งการโดย AI มีตา และสมองในการโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว และสามารถตัดสินใจได้เอง" Yu Kai ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Horizon Robotics สตาร์ทอัปจากกรุงปักกิ่ง ซึ่งพัฒนาชิปสำหรับ AI กล่าว โดยบริษัทนี้ได้รับเงินทุนสนับสนุน จากนักลงทุนรัสเซียอย่าง Yuri Milner ซึ่งเคยเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนให้กับเฟซบุ๊ก และอาลีบาบามาแล้วด้วย
Zhao Ziming นักวิเคราะห์จาก Analysys เผยว่า แม้ว่าการพัฒนา AI จะอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ก็มองเห็นได้ว่า บริษัทจากจีนไม่ได้ด้อยไปกว่าชาติตะวันตกเลย โดยเฉพาะในเทคโนโลยี Voice recognition และ image-recognition จุดอ่อนของจีนมีเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่ยังขาดแคลน ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็วได้
ขอขอบคุณที่มา : Manager Online