"มัลแวร์" เริ่มมีการปรับเปลี่ยนโดยพัฒนาด้วยเทคนิคของ A.I. เพื่อให้ยากแก่การตรวจสอบว่าเป็นมัลแวร์ ทั้งนี้ยังรวมถึงความสามารถในการเรียนรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดังนั้นในอนาคตอันใกล้นี้จึงมีแนวโน้มที่ภัยจากโลกไซเบอร์จะมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น

“มัลแวร์” คือ โปรแกรมหรือชุดคำสั่งประสงค์ร้าย โดยอาจจะทำงานแบบมีวัตถุประสงค์หรือไม่มีก็ได้
แต่สามารถสร้างความเสียหายให้กับระบบ (System) ได้ โดยมัลแวร์สามารถแบ่งตามชนิดได้ดังนี้
1.โทรจันฮอร์ส (Trojan horse)
2.ไวรัส (Virus)
3.เวิร์ม (Worm)
4.สปายแวร์ (Spyware)
5.กุญแจ ล็อกเกอร์ (Key Logger)
6.แบล็คดอร์ (Black Door)
ซึ่งแต่ละชนิดที่กล่าวนี้จะใช้แบ่งมัลแวร์ตามลักษณะวืธีการทำงานซึ่งเป็นไปเพื่อบรรลุจุดประสงค์ของผู้พัฒนามันขึ้นมา และแน่นอนว่าไม่ใช่ความประสงค์ดี (โดยรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถเข้าไปอ่านใน wikipedia)
"AI" คำเต็มคือ Artificial Intelligence ซึ่งคนไทยน่าจะคุ้ยเคยกันในคำว่า “ปัญญาประดิษฐ์”
คุณผู้อ่านหลายคนคงคุ้นเคยคำนี้จากในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลากหลายเรื่องที่มีการกล่าวถึงเทคโนโลยีสุดล้ำโลก เช่น เรื่อง A.I. Artificial Intelligence (2001) จักรกลอัจฉริยะ เป็นต้นในภาพยนตร์ตัวอย่างที่กล่าวมานั้นคุณผู้อ่านหลายท่านคงเคยชมกันมาบ้างแล้ว ซึ่ง AI โดยรวมนั้นจะกล่าวถึงโปรแกรมที่มีความสามารถใกล้เคียงกับมนุษย์หรือกระทั้งเหนือมนุษย์ โดยในภาพยนตร์อาจจะอยู่ในรูปของหุ่นยนต์หรือภาพเสมือน 3มิติ (Hologram) แต่สิ่งที่เหมือนกันคือไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดก็จะให้ความรู้สึกถึงความล้ำหน้าทางด้านเทคโนโลยี

ภาพจาก http://www.imdb.com/title/tt0212720/
Malware & AI จะเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
โดยพื้นฐานแล้ว Malware เป็นชุดคำสั่งที่ถูกเขียนขึ้นโดยผู้มีจุดประสงค์ไปในทางไม่ดี เช่น ต้องการเข้าควบคุมระบบผู้อื่น ต้องการทำลายหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่มิใช้ของตน เป็นต้น ขณะที่ทาง A.I. เป็นชุดคำสั่งที่เขียนขึ้น โดยมีจุดประสงค์ในการเลียนแบบกระบวนการความคิดของสิ่งมีชีวิตซึ่งอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาอย่างมนุษย์ก็ได้ ทั้งนี้อาจรวมถึงความสามารถในการพัฒนาตนเองด้วย
ถ้าเราลองเอาทั้งสองสิ่งนี้มารวมกันจะได้เป็น ปัญญาประดิษฐ์ที่มีจุดประสงค์ร้าย หรือมัลแวร์ที่มีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาแทน อย่างกรณีล่าสุดเว็บไซต์ The New York Times ระบุว่าในประเทศอินเดียการโจมตีทางไซเบอร์มีการใช้มัลแวร์ที่สามารถเรียนรู้ในการปรับเปลี่ยนการกระทำ ซึ่งบริษัท Darktrace ระบุว่าเริ่มพบมัลแวร์ที่สามารถเรียนรุ้สภาพแวดล้อมและเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใช้งานระบบได้ โดยทางบริษัท Darktrace ได้พบมัลแวร์ดังกล่าวก่อนที่มันจะได้สร้างความเสียหายใด ๆ

ภาพจาก https://www.cioinsight.com/imagesvr_ce/1471/AIFightMalware_0.jpg
จากกรณีที่กล่าวมานั้นท่านผู้อ่านจะทราบได้ว่ามัลแวร์เริ่มมีการปรับเปลี่ยนโดยพัฒนาด้วยเทคนิคของ A.I. เพื่อให้ยากแก่การตรวจสอบว่าเป็นมัลแวร์ ทั้งนี้ยังรวมถึงความสามารถในการเรียนรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วย ดังนั้นในอนาคตอันใกล้นี้จึงมีแนวโน้มที่ภัยจากโลกไซเบอร์จะมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น
นักวิจัยใช้ AI สร้าง “มัลแวร์” หลบเลี่ยง “ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส” ได้สำเร็จ
Hyrum Anderson ผู้อำนวยการทางเทคนิคด้านความปลอดภัยจากบริษัท Endgame โชว์ผลงานวิจัยการใช้ AI สร้างมัลแวร์ที่แอนตี้ไวรัสจับไม่ได้ แนวคิดของเรื่องนี้คือนำโค้ดมัลแวร์เดิมที่เป็นไบนารี มาดัดแปลงเพียงเล็กน้อย(น้อยมากๆ ระดับแก้ไม่กี่ไบต์) โดยให้ AI ทดลองหาวิธีแปลงที่น่าจะหลุดรอดการตรวจจับไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้วิธีการที่ดีที่สุด เช่น เติมเลขศูนย์ เติมไบต์สุ่ม เปลี่ยนชื่อบางเซคชั่นในไฟล์ ฯลฯ
AI ตัวนี้ใช้เวลาเทรน 15 ชั่วโมงกับตัวอย่างโค้ด 100,000 ตัวอย่าง (ไม่ระบุว่าทดสอบกับแอนตี้ไวรัสตัวไหน) ผลคือ AI สามารถสร้างโค้ดมัลแวร์ที่มีโอกาสรอดการตรวจจับได้ถึง 60% Anderson เผยแพร่ผลงานของเขาที่งานประชุม DEF CON และเปิดโค้ดบน GitHub โค้ดของเขาใช้ซอฟต์แวร์ช่วยเรียนรู้แบบ reinforcement learning ชื่อ Gym ซึ่งพัฒนาโดยองค์กร OpenAI ที่ก่อตั้งโดย Elon Musk
แหล่งข้อมูล : www.nytimes.com, www.blognone.com